มุมถ่ายรูปสวย สถานที่ถ่ายรูปสวย และดนตรีดีๆ จากทั่วทุกมุมโลก

มุมถ่ายรูปสวย สถานที่ถ่ายรูปสวย และดนตรีดีๆ จากทั่วทุกมุมโลก

10จุดถ่ายรูปสวยตรัง ที่ไม่ได้มีแค่ทะเลกับเกาะ

10จุดถ่ายรูปสวยตรัง

1. สถานีรถไฟกันตัง

สถานีรถไฟกันตัง สถานีรถไฟสไตล์วินเทจสุดคลาสสิคที่ต้องมาเก็บภาพกับสถานีแห่งนี้สักครั้งหากมีโอกาสมาเยือนจังหวัดตรัง สถานีรถไฟแห่งนี้เป็นสถานีสุดท้ายปลายทางของรถไฟสายใต้ฝั่งอันดามัน สถานีรถไฟที่สวยงามแห่งนี้ถูกใช้งานมาแล้วกว่า 108 ปี โดยเริ่มเปิดใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2456 ในช่วยสมัยรัชกาลที่ 6 สถาปัตยกรรมเรือนไม้ปั้นหยา ที่มีสีเหลืองมัสตาร์ดตัดกับสีน้ำตาลเข้ม แถมยังมีรายละเอียดยิบย่อยมากมายตามหัวเสา ช่องลมที่เพิ่มลูกเล่นการตกแต่งของสถานีแห่งนี้ให้ดูน่าสนใจมากยิ่งขึ้น เมื่อปี พ.ศ. 2539 (1) สถานีรถไฟกันตรังก็ได้ขึ้นเป็นโบราณสถานอีกด้วย

นอกจากนี้แล้วยังมีพิพิธภัณฑ์ของเก่าเปิดให้ผู้มาเยือนได้เข้าไปชมกันด้วย ด้านในจะจัดแสดงอุปกรณ์ของการรถไฟ เครื่องมือสื่อสารในสมัยนั้นเอาไว้เป็นอย่างดี ซึ่งบางชิ้นนั้นก็หาชมจากที่อื่นไม่ได้อีกแล้ว เอ๊ะ! อากาศร้อนคอแห้งแบบนี้ก็ต้องแวะดื่มกาแฟกันต่อที่ “สถานีรัก” สถานีกาแฟที่ตั้งอยู่ภายในสถานีกันตังเลย ในอดีตนั้นเคยเป็นที่ทำการของหน่วยช่างซ่อมบำรุงรถไฟ ก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นร้านกาแฟน่ารัก ๆ น่าเช็กอินแบบนี้นี่เอง อ่ออีกอย่างนึงที่ลืมไม่ได้เลยไหน ๆ ก็มาแล้วอย่าลืมไปโพสต์ท่าถ่ายรูปที่ป้ายสถานีกันตังกันนะ

2. จุดชมวิวเขาจมป่า

จุดชมวิวป่าโกงกาง 360 องศาที่ท่องเที่ยวแห่งใหม่ที่ได้รับความนิยมกันเป็นอย่างมาก ก็ไม่แปลกหรอกเพราะที่แห่งนี้สวยจริงไม่จกตา โอ้พระเจ้า! สวยมากนี่ก็ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าตรังจะมีที่เที่ยวแบบนี้ด้วย ก่อนอื่นเลยจะไปยังจุดชมวิวเนี่ยเราต้องติดต่อชาวบ้านบนฝั่งก่อนนะ เพราะการเดินทางมาที่แห่งนี้เราก็ต้องมาทางเรืออย่างเดียวเท่านั้น พอมาถึงก็ยืดแข้งยืดขายืดเส้นยืดสาย วอร์มร่างกายกันหน่อย เพราะต่อจากนี้จะเป็นการเดินขึ้นไปยังเขาจมป่านั่นเอง

โดยการเดินเท้าไต่เนินเขาขึ้นไป หินในบางช่วงจะมีลักษณะแหลมคมต้องระมัดระวังกันด้วยนะ รองเท้าก็แนะนำให้เลือกเป็นรองเท้าเดินป่าโดยเฉพาะนะจะได้ปลอดภัย ระหว่างทางเราก็จะได้ใกล้ชิด ชื่นชมธรรมชาติไปเรื่อย ๆ แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว สรุปเวลาคร่าว ๆ ในการเดินก็ประมาณ 30-45 นาที จากด้านบนตรงนี้เราก็เห็นพื้นที่สีเขียวสุดลูกหูลูกตาของป่าโกงกาง และมีแม่น้ำลัดเลาะตัดผ่านลักษณะโค้งไปมา โอ้โห! นี่ถ้ามีโดรนถ่ายคงต้องสวยมากแน่ ๆ พื้นที่ป่าโกงกางแห่งนี้มีส่วนสำคัญในการป้องกันหมู่บ้านคอยซับความแรงของคลื่นยักษ์สึนามีเมื่อปี พ.ศ. 2547 ทำให้พื้นที่แห่งนี้แทบไม่ได้รับผลกระทบอะไรเลย นี่ก็เป็นความสวยงามและความอัศจรรย์ของธรรมชาติจริง ๆ นอกเหนือจากการชมวิวป่าโกงกางแล้วก็ยังมีกิจกรรมล่องแพ ชมทะเลแหวก และอีกมากมายใครสนใจก็ติดต่อชาวบ้านบนฝั่งได้เลย

3. สตรีทอาร์ตเมืองตรัง

ภาพวาดฝาผนังหรือที่เราเรียกว่า Street Art ภาพวาดจิตรกรรมฝาผนัง 3 มิติภายใต้แนวคิด “วิถีกันตัง Colourful” ถูกถ่ายทอดโดยศิลปินผู้มากความสามารถบรรจงวาดอย่างสวยงามลงบนฝาผนัง ตัวของสตรีทอาร์ตจะถูกซ้อนและกระจายตัวอยู่ตามตรอก ซอก ซอยในตัวเมืองตรังช่วยสร้างลูกเล่นและเพิ่มเสน่ห์ให้กับตัวเมืองเพื่อให้นักท่องเที่ยวได้ตามล่าและได้โพสต์ท่าถ่ายรูปฮิบ ๆ ลงโซเชี่ยลกัน

ภาพวาดทั้งหมดจะเป็นภาพวาดที่สะท้อนวิถีชีวิตของชาวตรังไม่ว่าจะเป็นการเป็นอยู่ อาหารการกิน เอกลักษณ์เมืองตรังอย่างรถตุ๊กตุ๊กหัวกบ หรือสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังที่ต่างชาติก็ต้องยอมรับอย่างถ้ำมรกตก็มีด้วยนะอย่างที่ฮิต ๆ เลยก็มีด้วยกัน 3 ภาพที่เป็นภาพวาดที่แสดงตัวตนเอกลักษณ์ของจังหวัดตรังได้เด่นชัดที่สุด คือสตรีทอาร์ตต้นศรีตรัง ต้นไม้ประจำจังหวัดไม้ยืนต้นสูงออกดอกสีม่วงบานสะพรั่งสวยงาม สตรีทอาร์ตสวนยางพาราเพราะว่าจังหวัดตรังเป็นจังหวัดแรกของประเทศที่ปลูกยางพารานั่นเอง และสตรีทอาร์ตสุดท้ายก็คือถ้ำมรกตอัญมณีสีเขียวเลอค่าของท้องทะเลตรังนั่นเอง

4. หอนาฬิกาเมืองตรัง

หอนาฬิกาประจำจังหวัดที่ยืนคู่กับตรังมาเป็นเวลานาน โดยเดิมทีนั้นใช้เป็นหอกระจายข่าวของเทศบาลเมืองตรังมาก่อนโดยสมัยนั้นมีโครงสร้างเป็นไม้ ชาวบ้านมักเรียกกันว่า “หอแหลงได้” ซึ่งก็หมายถึงหอพูดได้ที่เรียกแบบนี้ก็เพราะว่าเสียงกระจายข่าวที่กระจายไปทั่วเมืองนั่นเอง

แล้วในปี พ.ศ. 2504 (2) เทศบาลตรังก็ได้สร้างเป็นหอนาฬิกาอย่างที่เราเห็นในปัจจุบันขึ้นแทนที่ หลายคนเกิดคำถามแล้วใช่ไหมละว่าแล้วจะดูเวลาได้จริงอ่ะป่าว คำตอบคือดูได้ แต่ก็ต้องระวัง ๆ กันด้วยนะเพราะหอแห่งนี้ตั้งอยู่ตรงกลางของวงเวียนอย่ามัวแต่ดูเวลากันเพลินดูรถกันด้วย

5. ย่านเมืองเก่า จังหวัดตรัง

เราพาย้อนเวลาหวนอดีตกันต่อที่ย่านเมืองเก่าจังหวัดตรัง ที่เต็มไปด้วยสถาปัตยกรรมสไตล์ชิโนโปรตุกิสเกิดจากครั้งที่สมัยก่อนได้มีการติดต่อค้าขายกับชาวโปรตุเกสนั่นเอง นอกจากนี้ตัวอาคารยังมีการผสมผสานศิลปะปูนปั้นแบบจีนเอาไว้ด้วย ส่วนผสมที่เกิดจากความแตกต่างที่ลงตัวนี่เองที่ทำให้ย่านเมืองเก่าแห่งนี้ยังคงมนเสน่ห์ที่ต้องตาต้องใจเหล่าบรรดานักท่องเที่ยวจากทั่วทุกจังหวัดและรวมชาวตรังเองด้วย

นอกจากตึกเก่าโบราณที่ขึ้นอยู่เรียงรายสองข้างทางแล้วนั้น ที่แห่งนี้ก็เป็นเหมือนคลังเสบียงอาหารที่รวบรวมของกินของหรอยชื่อดังของตรังเอาไว้ ไม่ว่าจะเดินไปไหนก็มีแต่ของอร่อยให้แวะทาน หากใครไม่อยากเดินให้ร้อนก็เรียกใช้บริการรถตุ๊กตุ๊กหัวกบ รถตุ๊กตุ๊กสุดแปลกตา ดูคล้าย ๆ กบจริง ๆ แถมมีลูกตาด้วย ไอ้ต้าวน่ารักกก คุณลุงคนขับผู้เก๋าประสบการณ์ก็จะพาคุณไปสัมผัสบรรยากาศเมืองเก่าและแถมยังแนะนำร้านอาหารอร่อย ๆ ให้ด้วย คงไม่พลาดที่จะเก็บภาพกับรถหัวกบตรังกันนะทุกคน

6. สวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (ทุ่งค่าย)

ป่าในเมือง สวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (ทุ่งค่าย) สังกัดกรมอุทยานแห่งชาติสัตว์ป่าและพันธุ์พืช พื้นที่สีเขียวที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์อยู่เต็มเปี่ยมสำหรับสายเขียวรักความธรรมชาติละก็ขอแนะนำเลย สวนพฤกษศาสตร์ภาคใต้ (ทุ่งค่าย) ตั้งอยู่บนเนื้อที่กว่า 2,600 ไร่ (3) จัดเป็นสถานที่ศึกษาธรรมชาติ โดยจัดให้มีเส้นทางเดินลัดเลาะไปตามป่าเพื่อให้ได้สัมผัสและเข้าถึงธรรมชาติมากที่สุด

เส้นทางศึกษาสำรวจธรรมชาติที่สำคัญ คือ “สะพานศึกษาธรรมชาติเรือนยอดไม้” ถือเป็นจุดเด่นที่สุดของที่นี่เลย จุดสูงสุดของสะพานแห่งนี้อยู่ที่ความสูงทั้งสิ้น 18 เมตร (3) เรียกว่าขาแข็งกันเลย หวาดเสียวสุด ๆ แต่ความสวยงามของวิวและธรรมชาติด้านบนนั้นคือคุ้มที่ยอมแลกมา ยิ่งสูงยิ่งเสียวแล้วก็ยิ่งสวยด้วย อย่าลืมแวะมาเยี่ยมสวนพฤกษศาสตร์ที่ถือเป็นปอดของจังหวัดตรังแห่งนี้นะทุกคน

7. วนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตัง (บ่อน้ำร้อนควนแคง)

แหล่งน้ำร้อนธรรมชาติที่อุดมไปด้วยแร่ธาตุต่าง ๆ ที่มีประโยชน์ต่อร่างกายเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้ามาพักผ่อนและได้มีโอกาสได้มาอบ, อาบ, จุ่ม และแช่เพื่อสุขภาพเพราะจะมีส่วนช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น โดยทางวนอุทยานบ่อน้ำร้อนกันตังก็ได้จัดเตรียมพื้นที่ไว้สำหรับแช่เท้า หรือห้องอาบน้ำไว้บริการด้วย ที่นี่มีบ่อน้ำร้อนทั้งหมด 3 บ่อ บ่อที่หนึ่งมีอุณหภูมิประมาณ 50-70 องศา

บ่อที่สองบ่อมีอุณหภูมิประมาณ 40 องศา ใช้สำหรับแช่เท้าหรือลงอาบ และบ่อสุดท้ายมีอุณหภูมิประมาณ 20 องศาตามลำดับ ข้อห้ามของที่นี่ก็คือห้ามนำไข่มาต้มในบ่อน้ำนะ ห้ามเด็ดขาด ของเค้าอ่ะร้อนจริงไม่อิงไข่ต้มแค่เดินข้าง ๆ ก็รู้แล้วว่าร้อนแค่ไหน บริเวณด้านข้างก็จะมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติเป็นระยะทางกว่า 750 เมตร สำหรับใครที่สนใจจะเข้าไปเยี่ยมชมพันธุ์ไม้แล้วที่บ่อน้ำร้อยแห่งนี้ก็จะมีน้อง ๆ มัคคุเทศก์ตัวน้อยคอยพาเราเที่ยวชมและพร้อมให้ความรู้ตลอดทริปเลย น่ารักน่าเอ็นดูมาก ๆ

8. วังเทพทาโร

วังเทพทาโร แหล่งรวมงานศิลปะผลงานชั้นเยี่ยมเกิดจากฝีมือและไอเดียดี ๆ จากนายจรูญ แก้วละเอียดที่ได้นำเอารากของเทพทาโรไม้เก่าแก่ที่มีอายุมากกว่าต้นยางสะอีก โดยสมัยก่อนชาวบ้านได้โค่นไม้เทพทาโรทิ้งเพื่อใช้พื้นที่ในการปลูกต้นยางแทน คุณจรูญจึงกว้านซื้อเศษรากไม้เทพทาโรทั้งหมดจากนั้นได้นำบางส่วนไปกลั่นน้ำมัน แต่สุดท้ายแล้วก็ยังเหลือพวกเศษรากเล็ก ๆ

จึงเกิดไอเดียนำมาประกอบกันเป็นมังกรผลงานชิ้นแรก ซึ่งมันออกมาสวยงามน่าประทับใจ จากนั้นก็เริ่มสร้างขึ้นเรื่อย ๆ จนตอนนี้กลายเป็นสวนมังกรรากไม้เทพทาโรที่ใหญ่ที่สุดในไทยและมีชื่อเสียงโด่งดังไปทั่วประเทศ ผลงานทุกชิ้นมาจากจากรากไม้น้อยใหญ่ที่นำมาประกอบและสร้างขึ้นมาด้วยหัวใจและความหลงใหลในงานศิลปะ ไฮไลท์อีกอย่างหนึ่งถ้าหากใครได้มาแล้วก็ต้องไปลอดท้องมังกร 9 ช่องมงคลเพื่อสร้างความเป็นสิริมงคลให้ชีวิต ใครผ่านไปผ่านมาก็ต้องลองแวะชมกันให้ได้เลย

9. ถนนคนเดินตรัง

ถนนคนเดินตรัง หรือมีชื่อภาษาอังกฤษน่ารักเก๋ ๆ ว่า “Chan Chala Night Market” ตั้งอยู่หน้าแลนมาร์คสำคัญอย่างสถานีรถไฟกันตังที่เราได้พูดถึงกันไปแล้วก่อนหน้านี้ ใครอยากจะไปชิมและช็อปกันที่นี่ก็ต้องไปให้ตรงกับวันศุกร์, เสาร์ และอาทิตย์แค่ 3 วันเท่านั้นนะ

ในตลาดก็มีของขายมากมายไม่ว่าจะเสื้อผ้า ของหวาน ของคาว หรือของฝาก นอกจากนี้ก็ยังมีการแสดงเปิดหมวกซึ่งเป็นอีกหนึ่งสีสันและเติมเต็มบรรยากาศการเป็นถนนคนเดินให้สมบูรณ์แบบ ใครที่ลืมหาอะไรกินรองท้องไปก่อนก็ระวังจะหน้ามืดตามัวซื้อแบบไม่ทันคิดนะ บอกเลยว่าคงจะเสียหายหลายบาทสำหรับถนนคนเดินแห่งนี้เนี้ย

10. วังผาเมฆ

แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติแห่งใหม่ของจังหวัดตรังที่เปิดได้ไม่นานมานี้กับรีวิวที่ถล่มทลายโด่งดังมาก ๆ ในโลกโซเชี่ยลโดยเฉพาะในหมู่วัยรุ่นอย่างเรา ๆ เพราะวังผาเมฆที่จังหวัดตรังนั้นสถานที่ชมทะเลหมอกสัมผัสอากาศหนาวในตอนเช้าที่ไม่ต้องไปไกลถึงภาคเหนือ จะดูทะเลหมอกให้สวยนั้นมันต้องดูตั้งแต่เช้าตรู่ต้องรีบไปเบิ่งไปให้ถึงจุดชมวิวก่อนที่พระอาทิตย์จะขึ้น

ดังนั้นมาพักที่นี่เลยก็จะสะดวกกว่า โดยที่พักด้านบนจะเป็นเต็นท์ไว้พอสำหรับการพักผ่อนง่าย ๆ สบาย ๆ การเดินทางไปยังวังผาเมฆนั้นเราจะต้องออกเดินทางตั้งแต่เช้าตรู่ หากเป็นไปได้เริ่มตั้งแต่ราว ๆ ตี 4 เลยยิ่งเช้ายิ่งดี ทางขึ้นก็จะเป็นเหมือนบททดสอบสมรรถภาพทางร่างกายหน่อยนึง แต่พอไปถึงด้าบน แล้วคงจะลืมความเหนื่อยที่เจอมาหมดเลยแน่นอน เพราะว่ามันสวยมากจริง ๆ อากาศดีลมพัดเย็นสบายเตรียมตัวรอดูแสงแรกของวันได้เลย อ่อใครที่มาถึงด้านบนแล้วยังครบ 32 หรือไม่เป็นลมเป็นแล้งไปสะก่อนก็ต้องแชะภาพกับป้าย ‘ครั้งหนึ่งในชีวิต เราคือผู้พิชิตวังผาเมฆ’ กันหน่อยนะเพราะป้ายนี้เป็นสัญลักษณ์ของความพยายามของเรานี่เอง

ที่มา: bestreview.asia

Tags

แชร์: